Page 61 - 003
P. 61

การแสดงออกและจินตนาการ (Creative & Imagination ) ทฤษฎีนิยมจินตนาการ เป็นการแสดง

                   แนวคิดในการสร฾างสรรค์ศิลปะโดยเน฾นความคิดหรือจินตนาการ งานศิลปะแนวนี้เน฾นในเรื่องของการ
                                                                ฾
                   จินตนาการหรือบางทีก็เป็นลักษณะของโลกของจิตใตส านึก ที่บ฽อยครั้งที่ศิลปินอธิบายผลงานด฾วย
                   วัตถุที่มีลักษณะเหมือนจริง แต฽สร฾างความไม฽ปกติของความสัมพันธ์กันทางวัตถุ ตัวอย฽างของงาน

                   ศิลปะในรูปแบบนี้ได฾แก฽งานประเภทลัทธิเหนือจริง (Surrealism) หรืองานที่เรียกว฽าแบบอุดมคต ิ

                   (Idealism)แนวประเพณี เช฽น ศิลปะไทย หรือศิลปะอินเดีย เป็นต฾น ซึ่งอาจถูกจัดอยู฽ในประเภทนี้ได ฾

                                                    ี
                   เช฽นกัน ซึ่งการวิจารณ์ศิลปะตามทฤษฎนี้จะต฾องมีความรู฾ความเข฾าใจในวัฒนธรรมท฾องถิ่นนั้นๆอย฽าง
                   ลึกซึ้งด฾วย



                   6. ทฤษฏีการวจารณ์ผลงานศิลปะของ ยีน มิทเลอร์
                                   ิ
                   (Art Criticism Theory by Jean A. Mitler)

                          มิทเลอร์ให฾ความส าคัญกับกระบวนการเรียนการสอนวิชาศิลปะด฾วยเทคนิคปฏิบัติงานด฾าน
                   วิจิตรศิลป฼และด฾านประยุกต์ศิลป฼ เป็นการส฽งเสริมให฾ผู฾เรียนได฾รับความรู฾ใหม฽ๆตามแนวทาง

                   ประชาธิปไตย การมีแนวคิดที่กว฾างไกล รักรู฾จักรับฟังความคิดเห็นของคนอื่น การให฾เกียรติคนอื่น

                   การรู฾จักปรับปรุงตนเองไปในทางที่เหมาะสมดีงามเพื่อความเจริญรุ฽งเรืองของชีวิต

                          “กระบวนการรับรู฾” ในการจัดการเรียนการสอนวิชาศิลปะตามทฤษฏีการเรียนรู฾ของยืน มิท

                   เลอร์ ว฽าด฾วยวิธีการสร฾างประสบการณ์ใน 3 ขั้นตอนคือ
                          ขั้นที่ 1 บอกวิธีให฾ผู฾เรียนได฾มีประสบการณ์ หาคุณสมบัตที่ชี้แนะการเห็น จากการได฾เห็นหรือ
                                                                          ิ
                   รับรู฾สิ่งหลายๆสิ่ง ภาพหลายๆภาพ วิธีการหลายๆวิธี ฯลฯ ได฾ตระหนักถงรูปแบบต฽างๆของศิลปะ
                                                                                 ึ
                   เสียก฽อน เช฽น การดูคุณสมบัติของเส฾น สี รูปร฽าง รูปทรง พื้นผิว แสง เงา และองค์ประกอบศิลป฼ที่
                   อยู฽ในผลงานศิลปะนั้นๆในขั้นตอนนี้นักเรียนเริ่มสัมผัสกับแบบอย฽าง (Style) ของศิลปะว฽ามีอะไร

                   แตกต฽างกันบ฾าง

                          ขั้นที่ 2 ผู฾สอนควรช฽วยแนะน าให฾นักเรียนเกิดความคิดเห็น สังเกตเกี่ยวกับสิ่งที่ตนรับรู฾หลาก

                   ชนิดขึ้น ให฾เห็นถึงความแตกต฽างและเหมือนกันในด฾านรูปลักษณ์ เช฽น ผลงานศิลปะหลายๆแบบอย฽าง

                   อาจมีคุณสมบัติร฽วมกันได฾ เช฽น งานศิลปะในลัทธิกาศกนิยม (Cubism) มีรูปเรขาคณิต เช฽นเดียวกับ
                   อนุตรนิยม (Supremacist) และลัทธิรูปทรงแนวใหม฽ (Neo - Plasticism) มีแนวทางและแนวคิดที่

                   แตกต฽างกัน ท าให฾สามารถแยกแยะออกเป็นแบบอย฽างเฉพาะตัว

                          ขั้นที่ 3 เป็นการศึกษาส ารวจอยู฽ อาจพยายามหาหลักฐานมาอ฾างอิงสนับสนุนความคิดของ

                   ตนจากประวัติศาสตร์ศิลปะด฾วยความยินยอมและสมัครใจใคร฽รู฾ ผู฾เรียนสามารถรวบรวมหรือสร฾าง
                   สูตรในการตัดสินผลงานชิ้นนั้นๆและจะสามารถสาธิตความสามารถที่จะโต฾แย฾งหรือสนับสนุน

                   ความคิดของตน โดยอ฾างอิงด฾วยความรู฾และความเข฾าใจที่ได฾รับจากการที่ได฾ผ฽านประสบการณ์ในการ


                                                           ~ 53 ~
   56   57   58   59   60   61   62   63   64   65   66